หนึ่งในปัญหาหนักอกหนักใจสำหรับผู้หญิง ที่ชอบใส่กางเกงขาสั้น คงหนีไม่พ้นปัญหาขาไม่สวย ขาลายบ้างล่ะ ขนขายาวบ้างล่ะ และที่ดูจะหนักหนาสาหัสที่สุดก็คงเป็นปัญหาผิวเปลือกส้มหรือที่เราเรียกว่า
เซลลูไลท์ บรรดาไขมันพากันไปรวมอัดแน่นที่ขาจนขากลายเป็นคลื่นลอน ๆ ใจก็อยากจะใส่ขาสั้น อวดเรียวขา แต่ขาก็ดันไม่ให้ความร่วมมือเลยนี่สิคะ พาให้เสียความมั่นใจ บางคนไม่ได้อ้วนแต่ก็ดันมีเซลลูไลท์
ผิวเปลือกส้ม คือ ก้อนไขมันส่วนเกินที่ถูกสะสมที่ชั้นใต้ผิวหนัง สังเกตง่าย ๆ เมื่อเราอ้วนขึ้น ผิวหนังจะค่อย ๆ ขยายตัวตามจุดที่มีไขมัน เมื่อขยายก็มามากขึ้น ชั้นไขมันก็ไม่เท่ากัน ซึ่งเดิมทีผู้หญิงเราก็มีไขมันอยู่แล้ว ถ้าใครมีน้อย ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรียบเนียน แต่ถ้าใครมีมาก ผิวหนังก็จะเรียบไม่เท่ากัน ทำให้เกิดเป็นผิวเปลือกส้มหรือเซลลูไลท์ ดังนั้นปัจจัยที่ทำให้เกิดเซลลูไลท์ จึงมาจากปริมาณการสะสมของไขมัน ไม่ว่าจะที่ต้นขา สะโพก บั้นท้าย ซึ่งเป็นจุดที่ผิวค่อนข้างตึง พอไขมันเยอะขึ้นก็จะดันตัวขึ้นมาจนเป็นลูกคลื่น
ปัญหาทั้งหมดนั้นจะหมดไป เพียงแค่คุณลองทำตามวิธีง่าย ๆ ต่อไปนี้
1. ควบคุมอาหาร
จำกัดการรับประทานอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล และแป้งสูง เช่น ขนมปังขาว อาหารทอด อาหารมัน ไส้กรอก น้ำอัดลม กาแฟ และขนมหวาน เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดไขมันสะสมในร่างกาย ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ มีน้ำตาลน้อย และดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้ร่างกายสามารถกำจัดของเสียออกไปได้
2. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
คนเราควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 3 ลิตรต่อวัน โดยตื่นนอนตอนเช้า 2 แก้ว และทยอยจิบน้ำทีละนิดระหว่างวันเรื่อย ๆ เทคนิคนี้จะช่วยลดเซลลูไลท์ที่ต้นขาได้ด้วยค่ะ
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอและเน้นเฉพาะส่วน
การออกกำลังกายเฉพาะส่วน เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน กระโดดเชือก หรือจะทำสควอท (Squats) โดยยืนกางขาให้ขา ให้ขาตรงกับไหล่ ลดตัวลงทำเหมือนกับว่านั่งเก้าอี้ โดยที่เข่าต้องไม่ลงไปโดยนิ้วเท้า และยืดตัวขึ้นกลับไปตำแหน่งเดิม ทำซ้ำ ก็สามารถช่วยให้ขาเรากระชับและไขมันเบาบางลง
4. ขัดผิวด้วยกาแฟ
การขัดผิวด้วยกากกาแฟจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป และกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงขึ้นมาแทน นอกจากนี้การขัดผิวนั้นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยกระชับผิวที่หย่อนคล้อยจากเซลลูไลท์ให้กลับมาเต่งตึง
หากสาว ๆ คนไหนลองวิธีที่แนะนำข้างต้นนี้แล้วยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจนัก เราขอแนะนำอีกหนึ่งวิธีที่จะเนรมิตผิวเนียนสวย จนคุณอยากนุ่งสั้น อวดเรียวขาเนียน ๆ กันเลย เราเรียกเทคโนโลยีที่ว่านี้ว่า “Vaser Shape หรือ การดูดไขมันด้วยคลื่นเสียง”
Vaser Shape เทคนิคการกระชับสัดส่วนด้วยการรวมเอานวัตกรรมสองอย่างได้แก่ (1) Dual ultrasound ทำให้ประสิทธิภาพของ ultrasound สูงขึ้นเป็น 2 เท่า (2) ระบบนวดสุญญากาศ (drainage handpiece) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของระบบเลือดและน้ำเหลือง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
หลักการทำงานของ Vaser Shape
หลักการทำงาน Vaser Shape คือ คลื่น ultrasound ทำให้เกิดเป็นฟองอากาศขนาดเล็ก (micro bubbles) รอบ ๆ เซลล์ไขมัน ซึ่งฟองอากาศเหล่านี้จะค่อย ๆ ขยายขนาดขึ้น แตกออกและกระแทกเซลล์ไขมันให้เปิด จากนั้นไขมันเหลวจะถูกปล่อยออกมาและขับออกทางระบบน้ำเหลือง จากนั้นจะใช้ drainage handpiece ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองอีกครั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น หลังจากการทำ Vaser Shape เสร็จจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรก ผิวเรียบเนียนขึ้น สัดส่วนกระชับ
ควรทำบ่อยแค่ไหน?
สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทำติดต่อกันคอร์สละ 6-8 ครั้ง โดยจะเห็นผลชัดเจนเมื่อทำการรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้ง ผลที่ได้รับจะอยู่นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคนไข้ หากคนไข้ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย โอกาสที่เซลลูไลท์จะกลับมาจะช้าลงกว่าปกติ
ข้อดี – ข้อเสีย การทำ Vaser Shape
ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใดก็ตามย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เราจึงสรุปเพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น
ข้อดี : การดูดไขมันถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ สามารทำและจบได้ทันที
ข้อเสีย : ด้วยความที่การดูดไขมันถือว่าเป็นการผ่าตัดอย่างหนึ่ง เราจึงแลกมาด้วยความเจ็บปวด และจำเป็นต้องใช้เวลาในการพักฟื้นบ้าง และสามารถเกิดอาการแทรกซ้อนได้เช่นกัน โดยในช่วงแรก ๆ คนใช้อาจจะต้องใส่ชุดให้กระชับในบริเวณที่ทำ 1-2 เดือน เพื่อให้ผิวหนังเกิดความกระชับขึ้น หรืออาจนวดเพื่อช่วยกระชับให้ผิวหนังเข้ารูปได้เร็วขึ้น
สิ่งสำคัญที่จะช่วยกำจัดเซลลูไลท์ที่ได้ผลที่ดีที่สุด คือ การดูแลรักษาจากต้นเหตุ นั่นก็คือ การควบคุมการกิน ควมคุมน้ำหนัก เนื่องจากบางอย่างเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็สามารถช่วยได้ แต่บางอย่างก็จำเป็นอาจเริ่มแก้ไขที่ตัวเองก่อน อย่างการออกกำลังกายเบา ๆ ก็ช่วยได้ ใครที่มีผิวเปลือกส้มสามารถหาข้อมูลและเลือกคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญ แล้วจึงปรึกษา พูดคุยกับแพทย์เพื่อที่จะทำการรักษาให้เข้าใจตรงกัน