เมื่อเราตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน แน่นอนว่าเราต้องหวังว่าชีวิตคู่ของเรานั้นจะดำเนินไปอย่างมีความสุขจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตกันและกัน กรใช้ชีวิตร่วมกันนั้น นอกจากจะแชร์การใช้เวลาร่วมกันแล้ว ยังหมายถึงการแชร์ชีวิต แชร์ความรู้สึก แชร์ครอบครัวและสังคมของแต่ละฝ่าย มีคู่รักจำนวนไม่น้อย ที่เมื่อตัดสินใจแต่งงานกันก็ย้ายเข้าไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายตรงข้าม ข้อดีอยู่ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกันค่ะ เพราะยิ่งมีจำนวนคนอยู่เยอะเท่าไหร่ ปัญหาที่จะตามมาก็มีมากขึ้นเท่านั้น และหากใครที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับครอบครัวของอีกฝ่ายได้แล้ว บอกได้เลยว่าชีวิตของคุณจะไม่มีความสุขอีกต่อไป ใครที่อยากมีชีวิตคู่ที่ยั่งยืนและมีความสุข ตามมาอ่านบทความนี้ได้เลย
หลังแต่งงานปัญหาไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว
สำหรับใครที่ตอนยังเป็นแฟนกันอยู่สามารถเข้ากับครอบครัวของอีกฝ่ายได้ อย่าเพิ่งดีใจไปค่ะ เพราะหลังแต่งงานไปแล้ว มีหลายคนที่กลับไม่สามารถเข้ากับครอบครัวของอีกฝ่ายได้ กลายเป็นงานช้างที่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องปรับตัวให้กับคนรักของเราในการอยู่ร่วมกันตลอดเวลา แต่เรายังต้องปรับให้เข้ากับครอบครัวของเขาด้วย และยิ่งหากบ้านไหนเป็นครอบครัวใหญ่ด้วยแล้ว ปัญหาทั้งการปรับตัว ความคาดหวัง ทัศนคติ อคติสารพัดจะประดังประเดเข้ามา
ทำอย่างไรให้ชีวิตคู่ยั่งยืนและมีความสุข
เขาว่ากันว่าการแต่งงานเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิต แต่การจะพาชีวิตคู่ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่งนั้นจะต้องทำอย่างไร นี่คงเป็นคำถามที่อยู่ในหัวของใครหลายคน เราจึงมีเคล็ดลับมาแนะนำดังนี้
1. ต้องมีความมุ่งมั่น
ความมุ่งมั่นในที่นี้หมายถึงการไม่ย่อท้อ ทำจนกว่าจะสำเร็จ ทำอะไรทำจริง หลายคนมักจะให้คำสัญญาของคู่ของตนเอง แต่พอมาถึงจุดหนึ่งกลับรู้สึกว่ามันยาก จนถอดใจกันไปบ้าง ทำเนียนเหมือนไม่เคยมีอะไร การกระทำเช่นนี้ส่งผลกระทบมากมายกับความสัมพันธ์ของเราเลยค่ะ นอกจากจะไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้แล้ว คนรักของคุณจะหมดความเชื่อถือในตัวคุณ หากคำสัญญานั้นเป็นเพียงลมปาก
2. ต้องชัดเจน
ความชัดเจนในที่นี้จะหมายถึงการลดความคาดหวังลงนั่นเอง เราจะต้องมีความชัดเจนในการลงมือที่จะทำอะไร เช่น เวลาที่เราไม่พอใจ หรือโกรธคนรัก ควรจะบอกเขาไปตรง ๆ ว่าเราไม่ชอบหรือไม่พอใจอะไรเขา เกิดอะไรขึ้น ไม่เอาแต่ประชดประชัน แดกดัน เพราะไม่มีใครรู้ใจใครไปทุกเรื่องหรอกค่ะ ซึ่งบางครั้งแม้แต่ตัวเราเอง เรายังไม่รู้เลยค่ะว่าตัวเราต้องการอะไร หรือเป็นอะไร เพื่อที่ว่าคนรักของเราจะต้องไม่มามัวแต่คาดเดาว่าใช่หรือไม่ นั่นจะยิ่งบั่นทอนความสัมพันธ์ และทำให้การสื่อสารผิดพลาดไปด้วยค่ะ
3. ต้องให้ความช่วยเหลือ
ในความสัมพันธ์ไม่เพียงแต่ให้ความช่วยเหลือกับคนรักของเราเท่านั้นนะคะ แต่ยังหมายรวมไปถึงพ่อแม่และครอบครัวของเขาด้วย เพราะการใช้ชีวิตคู่คือการผนวกรวมตัวกันของสองครอบครัว ไม่ว่าอย่างไร เราก็ไม่สามารถอยู่แบบตัดขาดจากครอบครัวได้ หากคุณใส่ใจ ให้การซัพพอร์ตทั้งกับตัวคนรักและครอบครัวของเขา รับรองเลยว่าเส้นทางชีวิตคู่ของคุณจะไปได้อีกไกล
4. ต้องมีความกลมเกลียวกัน
เคยได้ยินไหมคะ รวมกันเราอยู่ แยกอยู่เราตาย ประโยคนี้สามารถใช้ในชีวิตคู่ได้เช่นกัน ซึ่งความคิดของคุณและคนรักควรจะไปในทิศทางเดียวกัน หรือหากไม่ไปในทางเดียวกัน คุณและคู่ควรจะหาจุดตรงกลางเพื่อปรับและเป็นพื้นที่ไว้สำหรับพักเมื่อเกิดข้อโต้แย้ง และอย่าลืมที่จะคุยกันอย่างมีเหตุมีผลด้วยนะคะ แต่ไม่ใช่ว่าจะหลงลืมความรู้สึก เพราะอย่าลืมว่าความรักของคุณทั้งคู่เกิดขึ้นมาจากความรู้สึกล้วน ๆ
5. ต้องมีความรับผิดชอบ
ความรับผิดชอบถือว่าเป็นสิ่งที่คนเราควรมีกับทุก ๆ เรื่อง จากเดิมที่อยู่คนเดียว คุณจะรับผิดชอบแค่เพียงตัวคุณคนเดียว แต่เมื่อคุณเลือกที่จะใช้ชีวิตกับใครสักคน คุณจะต้องรับผิดชอบทั้งตัวคุณ ในด้านหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบทางการเงิน รวมไปถึงความรับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของตนเอง ซึ่งอาจะส่งผลกระทบโดยตรงกับคนรัก ดังนั้น การมีความรับผิดชอบจะช่วยให้ชีวิตคู่ของคุณยืนยาวขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ
6. ต้องร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคและปัญหา
การใช้ชีวิตคู่ ทุกอย่างจะถูกแบ่งครึ่งกันค่ะ มันไม่ใช่เพียงการร่วมสุขอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องร่วมทุกข์ไปกับคู่ของคุณด้วย เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ยุ่งยาก ในฐานะคนรัก ก็ควรที่จะต้องเข้าไปแบ่งปันความทุกข์นั้นนะคะ ความลำบากจะทำให้คนเรารักกันมากขึ้น และยังทำให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย เหมือนคำกล่าวที่ว่าความลำบากจะพิสูจน์รักแท้
ที่สุดแล้วการที่ชีวิตคู่ของคุณจะยั่งยืนหรือไม่นั้น ทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณหรือเขา แต่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือร่วมใจของคนทั้งคู่ ที่จะร่วมกันฝ่าฟันสิ่งต่าง ๆ ทั้งเรื่องดีและไม่ดี แบ่งปันความสุขและความเศร้าของกันและกันนั่นเองค่ะ