เคยมีคำกล่าวหนึ่งว่าไว้ “เมื่อเราหยุดที่จะคาดหวังให้คนอื่นสมบูรณ์แบบ เราก็สามารถชอบในแบบที่เขาเป็นได้” มนุษย์เราต่างมีความคาดหวัง มีมุมมองและความคิดเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น บางทีการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ หากมีแค่เพียงความรักอาจจะยังไม่พอ แต่ทั้งหมดมันควรจะขึ้นอยู่กับคนสองคนว่าพร้อมที่จะปรับตัวเขาหากันมากน้อยแค่ไหน ทันทีทที่เราตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว เราก็ต้องลดความเป็นตัวของตัวเอง ยายามทำความเข้าใจอีกฝ่าย เพื่อที่จะพาคู่ของเราไปถึงฝั่งฝันที่วางไว้ร่วมกันได้ บทความนี้เหมาะกับใครที่รักกันดีอยู่แล้ว แต่อยากรักกันให้มากขึ้น และยังเหมาะกับคู่ไหนที่กำลังมีปัญหาระหองระแหงกันอยู่ สามารถนำเอาวิธีเชิงจิตวิทยานี้ไปปรับใช้กันได้ค่ะ
1. การเป็นผู้ฟังที่ดี
ข้อนี้นับว่าเป็นคีย์เวิร์ดที่สำคัญมากกับความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่เพียงแค่คู่รักเท่านั้น เมื่อคนรักของเราต้องเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก แทนที่เราจะพูดตำหนิในสิ่งที่เขาทำพลาดไป แต่ควรเปลี่ยนคำพูดในเชิงว่าเราอยู่ข้างเดียวกับเขา แต่ทางที่สุดคือการนั่งข้าง ๆ เขา คอยรับฟังสิ่งที่เขาระบายออกมา โดยที่เราไม่ไปตัดสินว่ามันถูกหรือผิด เพราะไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว เราจึงควรพยายามทำความเข้าใจคู่ของเรา หากอยากพูด ควรพูดไปในเชิงให้กำลังใจและสนับสนุน และหากเขาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือแล้วล่ะก็ อย่าลืมรีบยื่นมือเข้าไปช่วยล่ะ
2. ลดความคาดหวัง
แน่นอนว่าอะไรที่เราคาดหวังไว้ หากไม่ได้ตามนั้น มันก็ต้องรู้สึกเฮิร์ทบ้างแหละค่ะ แต่ Robert Rosenthal นักจิตวิทยา ได้ทำการศึกษาและพบว่าการสร้างความคาดหวังในด้านบวกต่อคู่ของเรา จะช่วยส่งเสริมพฤติกรรมด้านบวกให้แก่กันและกัน เช่น ถ้าเราพูดให้กำลังใจคู่ของเราว่า “เธอเป็นคนเก่งนะ เธอทำได้แน่นอน” สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นและผลักดันให้คู่ของเราทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
3. การรู้จักแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกัน
สิ่งหนึ่งที่มักเกิดขึ้นกับหลาย ๆ คู่ คือ เมื่อคบกันไปนาน ๆ เข้า ความเกรงใจและความใส่ใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายลดน้อยลง ทำให้หลายครั้งเราเผลอที่จะมองข้ามความรู้สึกนั้นไป ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่ความสงสารแต่เป็นการมีความรู้สึกและอารมณ์ร่วมไปกับฝีกฝ่ายหนึ่ง การแสดงความเห็นอกเห็นใจจะช่วยให้อีกฝ่ายเปิดใจและบอกเล่าความรู้สึกภายในใจเขาออกมามากขึ้น แทนที่จะไปเสนอทางออกในช่วงเวลาที่เขาไม่ต้องการ
4. Give & Take
เคยได้ยินไหมคะว่าถ้าเราอยากได้อะไร เราก็ควรให้หรือทำสิ่งนั้นกับผู้อื่นก่อน เช่นเดียวกัน สมมติหากเราอยากให้คู่ของเราชื่นชมเรา เราก็ควรเริ่มจากการชื่นชมเขาก่อน ทุกการกระทำเป็นเหมือนกระจกเงา ที่จะสะท้อนกลับสิ่งที่เราได้ทำไป ถ้าเราให้แต่สิ่งดี ๆ เราก็ย่อมจะได้รับสิ่งดี ๆ คืนกลับมานั่นเอง
5. ชี้ทางสว่างด้านบวก
คนเราเวลาที่ประสบปัญหาหรือต้องเจอกับเรื่องที่หนักหนาสาหัสในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน สุขภาพ ฯลฯ ก็พาลจะทำให้ท้อแท้ หมดกำลังใจ มองอะไรในแง่ลบไปเสียหมด ดังนั้นหน้าที่ของเราจึงต้องพยายามชักนำให้คู่ของเรามองเห็นด้านดี ๆ เห็นแสงสว่างภายใต้ปัญหาและความมืดนั้น ทำให้เขาเห็นว่ายังมีสิ่งดี ๆ ซ่อนอยู่ ทุกอย่างไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิด
6. รู้จักให้อภัยกัน
การที่เราต่างที่มา ต่างการเลี้ยงดูกัน และมาใช้ชีวิตร่วมกัน มันก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ถ้าเรายังต้องการให้ชีวิตคู่ดำเนินต่อไปได้ การให้อภัยจะเป็นเหมือนดั่งน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจชั้นดีที่จะเยียวยาบาดแผลทั้งกับเราและคู่ของเรา ดังนั้น การเรียนรู้ที่จะให้อภัยคนรักในวันที่เขาทำผิดพลาดไป ใช้การพูดคุย ปรับความเข้าใจและแก้ไข ก็จะช่วยให้เราทั้งคู่สามารถเดินร่วมทางกันต่อไปได้
7. ยอมรับคู่ของเราอย่างไม่มีเงื่อนไข
หากเรายังมัวมองหาด้านที่ไม่ดีของคนรักอยู่เรื่อย ๆ เราก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขแน่นอนค่ะ และหากเราปรับแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ลองเปลี่ยนมายอมรับในสิ่งที่เราไม่พอใจดีกว่าไหมคะ ลองชั่งน้ำหนักกับด้านที่ดีดูว่า สิ่งไม่ดีที่เขาทำไปแล้วเราไม่พอใจ มันร้ายแรงมากขนาดไหน ตัวเราพยายามปรับให้ดีขึ้นแต่ไม่สำเร็จ การยอมรับในตัวตนทุกด้าน ไม่ว่าจะด้านดีหรือไม่ดีก็ตาม รับที่เขาเป็นเขา ยอมรับให้ได้ว่าไม่มีใครเพอร์เฟค ถ้าเรายอมรับได้ก็คือจบ แต่ในทางกลับกัน ถ้ายอมรับไม่ได้ ปลายทางก็จบที่เลิกรากัน
ความรักเป็นสิ่งที่ดี การที่เรารักใครและตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตร่วมกับเขา เราก็ต้องรู้จักประคับประคองความรัก ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ให้มีสุขภาพที่ดี เพิ่มการเรียนรู้และทำความเข้าใจให้มาก ๆ หมั่นเติมความหวานบ้าง ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยของกันและกัน เท่านี้ชีวิตคู่ก็สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
buy accutane paypal – order dexamethasone 0,5 mg generic zyvox over the counter
buy amoxicillin generic – buy generic diovan over the counter purchase ipratropium online